< Previous/ ISSUE_13 20 YOUR HEALTHY SENSE Compilation of new eateries The latest tapas contender in town serves a vast range of choices including: gambas al ajillo (fried prawns with crisp garlic), albondigas de cerdo caseras (minced pork meatballs) and arroz negro (squid ink paella). A handful of drink options is available to wash them down with. ทาปาสบาร์เปิดใหม่ย่านทองหล่อที่บรรยากาศ ชวนให้นึกถึงแมดริด อาหารราคาเป็นมิตร เลือกชิมได้ตั้งแต่ Gambas al ajillo กุ้งผัด น�้ามันมะกอก มีทบอลหมูในซอสมะเขือเทศ และข้าวผัดสเปนซีฟู้ดหลากเมนู ปิดท้ายด้วย เครื่องดื่มอย่าง Sangria ก็ดีไม่น้อยเลย This is Bangkok’s latest omakase restaurant. Inside a minimalist house, slices and dices of fresh kuruma ebi (tiger prawn) and grilled braised anago (saltwater eel) are served with finesse as a special course. The attached glasshouse serves as a bar. ร้านอาหารญี่ปุ่นแบบโอมากาเสะเพิ่งเปิดตัว ล่าสุด ซูชิบาร์สีขาวสะอาดตาเปิดให้ลูกค้า เพียง 12 ที่ นั่งชมขั้นตอนการท�าอาหารของเชฟ มีเมนูให้เลือกเป็นคอร์ส เช่น ซูชิปลาไหลทะเล เนื้อปลา Kinmedai หรือข้าวหน้ากุ้งหวาน ทั้งหมดการันตีความสด ใหม่ และดีของวัตถุดิบ Owned by the family of a classical music legend, this home eatery showcases Thai comfort food. Try the gaeng puu sen mee (southern-style yellow curry with crabmeat) and stir-fried pork. For dessert, the mango and passion fruit toast will make a truly perfect finish. ลูกหลานจากครอบครัวนักดนตรี เลือกบ้าน สองชั้นบรรยากาศอบอุ่นแห่งนี้ให้เป็นสาขา ที่สองของครัวบรรเลงที่เสิร์ฟอาหารไทยรสดั้งเดิม ลองชิมแกงปูเส้นหมี่ที่ปรุงจากพริกแกงใต้ และ หมูเผ็ดสูตรคุณย่า ปิดท้ายด้วยโทสต์มะม่วง เสาวรส ขนมหวานที่หาทานทีอื่นได้ยาก EL TAPEO Eltapeobkk KRUA BANLENG Kruabanleng.sathorn SUSHI NIWA SushiNiwaBangkok TASTY TAPAS FAMILY RECIPE CRAFTED SUSHI/ ISSUE_13 22 พัฒนาการของ “Nanobots” เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีทางการแพทย์ ที่หลายฝ่ายจับตามอง การบูรณาการนาโนเทคโนโลยี หุ่นยนต์ขนาดจิ๋ว เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ และองค์ความรู้ด้านชีววิทยาเข้าด้วยกันนี้ อาจเป็นความหวังใหม่ของการรักษาโรคมะเร็ง และนับเป็นความท้าทาย อย่างยิ่งส�าหรับวงการแพทย์ในอนาคต ขณะเดียวกันในปีที่ผ่านมาวงการ แพทย์ทั่วโลกมีการผ่าตัดโดยใช้หุ่นยนต์อย่างแพร่หลาย เฉพาะ ‘da Vinci Surgical System’ หุ่นยนต์ผ่าตัดที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกภายใต้การพัฒนา และผลิตของบริษัท Intuitive Surgical มีการผ่าตัดไปแล้วถึง 753,000 ครั้ง เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 15% นี่เป็นส่วนหนึ่งที่บ่งชี้ว่า หุ่นยนต์และ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Robotics & AI – Artificial Intelligence) ก�าลังก้าวเข้ามาบทบาทต่อชีวิตของผู้คนและจะทวีความส�าคัญขึ้น อย่างต่อเนื่อง รัชต์ โสดสถิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แอสเซท พลัส จ�ากัด อธิบายว่า Robotics & AI เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ในการด�าเนินชีวิตของผู้คนและครอบคลุมไปในหลากหลายมิติ โดยใน วงการแพทย์เริ่มใช้หุ่นยนต์ช่วยในการผ่าตัดอย่างแพร่หลาย ซึ่งแม้ว่า ปัจจุบันหุ่นยนต์อาจยังไม่สามารถท�างานแทนศัลยแพทย์ได้โดยสมบูรณ์ แต่ก็เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผ่าตัดให้ดียิ่งขึ้น ไม่เพียงเท่านั้น Robotics & AI ยังถูกน�าไปใช้ในระบบขับเคลื่อนยานยนต์อัตโนมัติ การบริหารคลังสินค้าและระบบโลจิสติกส์ แอพพลิเคชั่นต่างๆ ที่ใช้งาน บนโทรศัพท์มือถือ ไม่เว้นแม้หุ่นยนต์ดูดฝุ่นที่เราคุ้นเคยกันดี “ทุกวันนี้เราใช้ประโยชน์จาก Robotics & AI อย่างรอบด้าน และ เทคโนโลยีกลุ่มนี้ก็พัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งผมมองว่านี่คือการปฏิวัติ ครั้งส�าคัญในโลกเทคโนโลยี มันเหมือนกับเราย้อนไปมองโทรศัพท์มือถือ เมื่อ 20 กว่าปีก่อนที่ขนาดใหญ่เทอะทะและราคาแพงมาก แต่ทุกวันนี้ได้รับ พัฒนาให้เล็กลง พกพาสะดวก ราคาก็ถูกลง ในขณะที่ประสิทธิภาพสูงขึ้น เรื่อยๆ และกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผู้คนไปแล้ว ซึ่งพัฒนาการเหล่านี้ เมื่อ 2 ทศวรรษก่อนคงไม่มีใครจินตนาการถึงได้เลย ในท�านองเดียวกัน อีก 10 ปีข้างหน้าเราอาจได้เห็น Robotics & AI มีบทบาทในชีวิตเรามากขึ้น หรือเข้ามาขับเคลื่อนวิวัฒนาการของสังคมเหมือนเมื่อครั้งที่เราผันจากสังคม เกษตรมาสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรม และเปลี่ยนผ่านมาจนถึงยุคปฏิวัติ ทางเทคโนโลยี” รัชต์กล่าว ส่วนในมิติของการลงทุน เขามองว่า Robotics & AI คือหนึ่งในธีม การลงทุน (Investment Theme) ที่จะสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจ ได้ดีท่ามกลางแนวโน้มการเติบโตก้าวกระโดดของ Robotics & AI ทั่วโลก ดังจะเห็นได้จากปริมาณของหุ่นยนต์ทั่วโลกที่เติบโตขึ้นอย่างมีนัยส�าคัญ โดยนับจากปี 2557 – 2562 คาดว่าจะสามารถเติบโตโดยเฉลี่ยถึง 15% ต่อปี เพิ่มขึ้นจากปี 2548 – 2556 ซึ่งเติบโตเฉลี่ยเพียง 5% ต่อปี เท่านั้น (ที่มา: AXA Investment Managers Presentation, May 2017) “Robotics & AI เป็นหนึ่งใน Mega Trend ท่ามกลางกระแส ที่เทคโนโลยีก�าลังเปลี่ยนโลก หรือ Disruptive Technology ซึ่งหากจะถาม ถึงโอกาสการเติบโตในอนาคต ผมอยากให้เทียบเคียงกับเมื่อหลายสิบปีก่อน นักลงทุนที่คิดจะซื้อหุ้น Apple อาจยังนึกไม่ออกว่าในอนาคตโทรศัพท์มือถือ จะมีบทบาทส�าคัญเพียงใด และสร้างโอกาสรับผลตอบแทนให้ได้มากขนาดไหน แต่ทุกวันนี้คงมีค�าตอบชัดเจนแล้ว การมองอนาคตของการลงทุนในธีม Robotics & AI ก็เช่นเดียวกัน” ปัจจุบันโอกาสการลงทุนกับการเติบโตของ Robotics & AI เปิดกว้างขึ้น ส�าหรับผู้ลงทุนไทย โดย บลจ. แอสเซท พลัส เป็น บลจ. แห่งแรกที่น�าเสนอ กองทุนเปิด แอสเซท พลัส โบโรติกส์ (ASP-ROBOT) เป็นทางเลือกกองทุน ASP-ROBOT เน้นลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสเติบโตสูงของบริษัททั่วโลกที่เป็นผู้ผลิต และผู้พัฒนา Robotics & AI รวมถึงบริษัทที่น�า Robotics & AI ไปใช้ด�าเนิน ธุรกิจ โดยลงทุนส่วนใหญ่ผ่านกองทุนในต่างประเทศคือ กองทุน “AXA World Funds Framlington Robotech” ภายใต้บริหารของ AXA Investment Managers บริษัทจัดการกองทุนระดับโลก ตัวอย่างหุ้นที่มีการลงทุน อาทิ Intuitive surgical, Keyence, Siemens, Fanuc, Yaskawa Electric, Rockwell Automation, Amazon, Alphabet และ Apple ครอบคลุม 4 กลุ่ม ธุรกิจหลักที่เกี่ยวข้องกับ Robotics & AI ได้แก่ กลุ่มจักรกลอัตโนมัติ (Industrial Automation) กลุ่มสาธารณสุขและการแพทย์ (Healthcare) การขนส่งและคมนาคม (Logistics & Transportation) และกลุ่มเทคโนโลยี บูรณาการ (Technology Enabler) “Robotics & AI เป็นธีมการลงทุนที่น่าจับตามองไปอีกหลายทศวรรษ นับจากนี้ ซึ่งปัจจุบันเรายังอยู่ในยุคเริ่มต้น จึงเป็นโอกาสส�าหรับนักลงทุนที่รับ ความเสี่ยงได้สูงที่จะเข้าลงทุนตั้งแต่ระยะเริ่มต้น หรือ early stage เพื่อสะสม โอกาสรับผลตอบแทนสูงจากการเติบโตของ Robotics & AI ในอนาคต” รัชต์กล่าวทิ้งท้าย Robotics & AI ลงทุนกับ Mega Trend แห่งอนาคต/ ISSUE_13 24 THE ROYAL PROJECT FOUNDATION: HEALTH FOR ALL FROM THE HIGHLANDS/ ISSUE_13 25 The photograph showing more than 5,000 hill tribe people in colourful ethnic costumes, who travelled from the furthest borders of Thailand to pay their respects to His Majesty the late King Bhumibol Adulyadej at Dusit Maha Prasart Throne Hall inside the Grand Palace on 12 December 2016, was a powerful image. It spoke in volumes of the far distances that the empathy and vision of His Majesty the late King covered, and of the lives – individual and community – that were touched. Numerous royal development projects initiated by the late King have helped ethnic minorities to improve their lives in all aspects – health, housing, education, skill, work, income, status – and knowing this, it’s no surprise to see this show of high respect, abundant love and deep gratitude from the ethnic minorities towards His Majesty the late King Bhumibol Adulyadej. There are more than 3,000 hill tribe villages in 20 provinces of Thailand. In the past, they were one of the most disadvantaged groups of people in the country due to their limited access to Thai citizenship and their isolated, remote locations. The first generation of hill tribe people who evacuated to Thailand faced severe poverty, lacking access to basic social services including education and health. They used shifting cultivation for surviving and relied on illegal opium poppy cultivation for income – unintentionally causing issues with drug abuse plus damage to forestry and environmental resources. The strong bond between His Majesty the late King Bhumibol Adulyadej and ethnic minorities was established many decades ago in the faraway highlands of northern Thailand. King Bhumibol regularly stayed at Bhubing Palace, the royal winter residence in Chiang Mai, and in the year 1969 he visited the Hmong village at Doi Pui, not far from Bhuping Palace, for the first time. Following that, his trips to the north came to include repeat visits to many tribal villages in the area – their suffering and lacking of opportunities had caught his attention. King Bhumibol contributed 200,000 Baht from his personal coffers to Kasetsart University to buy a piece of land, which was named ‘Suan Song Saen’, for use as a research centre for cold–region crops. ‘The Royal Project under Patronage of His Majesty the King for Hill Tribe’ was initiated – and funded – by King Bhumibol with the aim of improving the quality of life of hill tribe people, to diminish their reliance on opium- growing, and to restore forest and water resources which were destroyed by their shifting cultivation practices. / ISSUE_13 26 YOUR HEALTHY MIND Cover story The activities of the project grew to encompass research for cold-region crops compatible with the soil in the area, developing crop-growing techniques, introducing crops to the hill tribe people to grow instead of opium poppies, and helping the hill tribe people to market their products. Researchers from many universities and organisation volunteered to work with The Royal Project including Kasetsart University, Chiang Mai University, Maejo Institute of Agricultural Technology, The Royal Forest Department, and the Department of Social Welfare. In time, cooperation was extended to include other countries – for example USA, Taiwan, Laos, Myanmar and Bhutan – for knowledge exchange in highland development. The name and status of the project was changed from The Royal Project to The Royal Project Foundation in the year 1992 to enable it to continue its activities with a proper structure, and currently The Royal Project Foundation has four main research centres in and around Chiang Mai. The Royal Project Foundation is recognised internationally as the first highly successful project that eliminated opium cultivation by recommending alternative development, and on 12 December 1994 the United Nations International Drug Control Programme presented an Award of appreciation in recognition of King Bhumibol’s outstanding contributions to drug control efforts in Thailand. To date it has supported more than 39,277 families in 28 villages through its 38 development centres, and helped the average annual income of each household to increase more than 10 times from when they were growing opium poppies. The Royal Project Foundation model was intelligently designed by King Bhumibol to grow into a sustainable business. In 1972 he initiated the first Royal Project food processing factory at Fang, which later developed into Doi Kham Food Company Limited in 1994, as well as a union for hill tribe farmers. King Bhumibol designated The Crown Property Bureau to manage Doi Kham Food under the concept of a ‘social business’ i.e. to balance the wellness and happiness of its suppliers (ethnic communities) with the practices of a developing sustainable business. Doi Kham Food purchases crops from farmers who work with The Royal Project Foundation at reasonable market prices, processes them into fruit juice and processed foods, and sells premium quality products to Thai people at affordable prices. Some cold-region crops of The Royal Project Foundation • Fruits: peach, plum, apple, avocado, kiwi, strawberry, guava, seedless grape • Vegetables: celery, carrot, baby carrot, lettuce, tomato • Flowers: chrysanthemum, European gerbera, gladiolus, lily, carnation, alstroemeria, gypsophila, rose • Other plants: read bean, buckwheat, linin, Arabica coffee, fern, shiitake The deep concern shown by His late Majesty for the well-being of the Thai people is shown through his numerous royal projects, which are in the thousands. The projects mentioned in this article have given abundant benefits not only limited to the welfare of the northern hill tribe people, but has also eliminated sources of substance abuse problems at a global level, solved natural resource and environmental degradation, and to this day continues to produce the finest quality foods for Thais at reasonable prices. * His Majesty the late King visited the village of Amphoe Samoeng in Chiang Mai in 1987 and found that many villagers had thyroid goitre, caused by iodine deficiency. He gave orders for Amphoe Samoeng to be an experimental research site on how to solve the iodine deficiency problem by determining the origins of the salt and adding iodine in salt before distributing salt to villagers. This royal initiative became known as ‘Salt Roads’ and it has since succeeded in solving thyroid goitre in millions of people across Thailand. Other Royal Development Projects of His Majesty the late King Bhumibol * A volunteer team known as Pracha- Asa Group – consisting of doctors, nurses, dentists and students from Chiang Mai University under the leadership of Professor Dr. Kasem Wattanachai – has worked alongside the Royal Project Foundation on healthcare promotion, social and education development in northern Thailand since December 1986 until the present. / ISSUE_13 27 พระบารมีปกเกล้าชาวเขาไทย หลายทศวรรษมาแล้วที่บนเทือกเขาสูง ทางภาคเหนือของประเทศไทย ยังมีประชากร ชาวเขาพลัดถิ่นที่ย้ายเข้ามาตั้งรกรากบนผืน แผ่นดินไทย และอาศัยภายใต้ร่มพระบารมี ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช ในปี 2512 เมื่อทรงแปรพระราชฐาน ไปประทับที่พระต�าหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ พระองค์ทรงเสด็จประพาสต้นเยี่ยมชาวเขา ที่บ้านดอยปุย ความแร้นแค้นของชาวเขา ที่ด�ารงชีพด้วยการท�าไร่เลื่อนลอย ซึ่งเป็น ต้นเหตุของการตัดไม้ท�าลายป่าไม้และ ความเสียหายของต้นน�้า อีกทั้งยังปลูกฝิ่นขาย เพื่อให้ได้เงินมาแลกกับสินค้าต่างๆ อันเป็น ต้นทางของปัญหายาเสพติด ส่งผลให้พระองค์ มีพระราชด�าริริเริ่มโครงการช่วยเหลือชาวเขา ให้มีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จึงพระราชทาน พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อเริ่มด�าเนิน โครงการสรรหาพันธุ์และทดลองปลูกพืช เมืองหนาวที่มีราคาดี ปลูกได้ผลดีในดินและ สภาพอากาศบนภูเขาตลอดทั้งปีมาให้ชาวเขา ปลูกทดแทนการปลูกฝิ่นและการท�าไร่เลื่อนลอย ในปัจจุบันโครงการช่วยชาวเขาในพระราชด�ารินี้ เป็นที่รู้จักกันดีผ่านสินค้าสดของ “โครงการหลวง” และสินค้าแปรรูปที่ผลิตโดย “บริษัท ดอยค�า ผลิตอาหาร จ�ากัด” โครงการนี้เป็นเพียงโครงการหนึ่งซึ่งแสดงถึง พระปรีชาญาณ สายพระเนตรอันกว้างไกล และพระเมตตาอย่างล้นพ้นหาที่สุดมิได้ ของพระองค์ที่มีต่อพสกนิกรรวมถึงชนกลุ่มน้อย ในประเทศ โครงการหลวงเป็นโครงการที่ประสบ ความส�าเร็จมิใช่เพียงด้านเดียว แต่ส่งผลต่อ ทั้งความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น การเข้าถึงการรักษาและ การศึกษาของชาวเขา การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม อันเกิดจากการท�าไร่เลื่อนลอยโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ การแก้ปัญหายาเสพติดที่มีต้นทางจากการปลูกฝิ่น ซึ่งเป็นปัญหาระดับโลก และท�าให้ประชาชนคนไทย มีพืชเมืองหนาวที่ปลูกเองและใช้ผลผลิตเอง ในประเทศได้อย่างยั่งยืนอีกด้วย Next >