< Previous40 Mercedes-BenzMercedesSLOVENIA SMALL COUNTRY, BIG HAPPINESS เรื่อง/ภาพ: พิณไท ความสุขที่ยิ่งใหญ่ในประเทศเล็กๆ 41 July 2018Mercedes42 Mercedes-BenzMercedes43July 2018Mercedesปสโลวีเนียเถอะ เธอต้องชอบแน่ๆ” หลังจากได้ยินประโยคนี้จากเพื่อนนักเดินทาง หลายต่อหลายคน พอมีโอกาสได้มายุโรป เราจึงใส่ประเทศเล็กๆ แห่งนี้ไว้ใน รายการ ‘สถานที่ที่ต้องไป’ อย่างไม่ลังเล ที่จริงพอมานึกดูแล้ว แต่ละคนที่แนะน�าให้เรามา สโลวีเนียแทบไม่ได้บอกเลยว่าสิ่งที่เขาคิดว่าเรา น่าจะชอบคืออะไรบ้าง แต่ค�าพูดเหล่านั้นก็เพียง พอแล้วที่จะท�าให้เราตัดสินใจซื้อตั๋วรถบัสรอบดึก จากออสเตรีย ตามก�าหนดการแล้ว รถจะถึง เมืองลูบลิยานา (Ljubljana) เมืองหลวงชื่ออ่านยาก ของสโลวีเนีย ซึ่งเราพูดชื่อออกมาแต่ละครั้ง ไม่เหมือนกันสักรอบ ตอนประมาณตีสี่ครึ่ง สโลวีเนียเป็นประเทศเล็กๆ นั่งรถไม่กี่ชั่วโมงก็ สามารถเดินทางจากเหนือจรดใต้ได้แล้ว ถึงอย่าง นั้น ที่นี่ก็เป็นประเทศที่เล็กแต่ ‘ครบเครื่อง’ เพราะ มีทั้งเทือกเขาแอลป์ทางตะวันตกเฉียงเหนือ หุบเขา และแม่น�้าทางตะวันออก รวมไปถึงชายฝั่งทะเล ทางใต้ ความรู้สึกดีเกิดขึ้นนับตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้มองหน้า กับลูบลิยานา ลูบลิยานายามเช้าดูเงียบสงบ สมกับ เป็นหนึ่งในเมืองหลวงที่เล็กที่สุดในยุโรป แต่ขอเติม ให้อีกนิดว่าเป็นหนึ่งในเมืองหลวงที่น่ารักที่สุดด้วย เมืองนี้ต่างจากเมืองหลวงอื่นๆ ตรงที่ไม่ค่อยมีสถานที่ ท่องเที่ยวระดับโลกที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวมากนัก แต่นี่แหละที่เป็นเสน่ห์ของที่นี่ สิ่งที่ท�าให้เรารู้สึกดี เป็นพิเศษก็คือการที่เมืองมีขนาดเล็กจนแทบไม่ต้อง พึ่งรถในการเดินทางไปยังจุดต่างๆ ส�าหรับคนที่ หลงทิศบ่อยๆ อย่างเรา มีไม่กี่เมืองหรอกที่เรา สามารถเดินเล่นสบายๆ ชมเมืองไปเรื่อยๆ ตักตวง ความสุขได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องกังวลเรื่องหลงทาง แล้วไปต่อไม่เป็น เดินออกจากใจกลางเมืองมาไม่กี่นาที ตึกสีพาสเทล น่ารักในย่านเมืองเก่าค่อยๆ หลีกทางให้แก่บ้าน และตึกแถวที่ปกคลุมด้วยสีสันจัดจ้านของศิลปะ บนฝาผนังในย่าน Metelkova ซึ่งเป็นค่ายทหาร เก่าที่เปลี่ยนมาเป็นหมู่บ้านศิลปิน เราเดินผ่านบ้าน ที่ตกแต่งด้วยกระเบื้องโมเสกเต็มทั้งก�าแพง ผนังทาด้วยสีต่างๆ จนไม่เหลือที่ว่าง มองขึ้นไป เจอกับรูปปั้นชายที่มีหางเป็นกิ้งก่าก�าลังนั่งชมวิว อย่างโดดเดี่ยวอยู่บนหลังคาบ้านอีกหลัง ใกล้ๆ กับสายไฟที่มีรองเท้าผ้าใบนับสิบคู่แขวนห้อยอยู่ “ไ 44Mercedes-BenzMercedesอีกทั้งยังมีประติมากรรมที่ไม่แน่ใจว่าคือรูปอะไร วางกระจัดกระจายแบบตามใจเจ้าของอยู่ตาม มุมต่างๆ เราชอบที่ Metelkova นิยามตัวเอง ว่าเป็น ‘autonomous culture zone’ หรือ เขตปกครองตนเองทางวัฒนธรรม เพราะสิ่งที่เขา ให้ความส�าคัญก็คือความเป็นตัวของตัวเอง ..นี่คือ พื้นที่ส�าหรับทุกคน ตกเย็นเราเดินลัดเลาะไปตามซอกซอยของย่านเมือง เก่าอีกครั้ง บรรยากาศเริ่มคึกคักต่างจากยามเช้าที่ ดูเงียบๆ เราเดินผ่านทางเดินปูหินและตึกแถวสี หวานๆ ตรงไปยังเนินเขาเล็กๆ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ ปราสาทลูบลิยานา มองลงมาเห็นเมืองทั้งเมือง ตัด กับแนวภูเขาหิมะด้านหลัง ทุกอย่างเป็นสีอุ่นๆ เหมือนมองผ่านฟิลเตอร์แต่งภาพ มองไปทางไหนก็ อดยิ้มออกมาไม่ได้ หรือบางทีอาจเป็นฟิลเตอร์กรอง ความสุขในใจเราเองที่ก�าลังท�างานอยู่ ช่วงเดือนธันวาคม เมืองต่างๆ ในยุโรปจะมี Christmas Market ซึ่งคล้ายกับตลาดนัด แต่จะจัด เฉพาะช่วงใกล้ๆ วันคริสต์มาสเท่านั้น ของที่ขายจะ เป็นพวกของประดับบ้าน ขนม และไวน์ร้อน ซึ่งเป็น ไวน์ต้มกับเครื่องเทศชนิดต่างๆ ตามสูตรของแต่ละ ร้าน มักจะใส่มาในแก้วเซรามิกลายน่ารักๆ ให้ อารมณ์เหมือนจะจิบชายังไงยังงั้นเลย และตอนที่ น�าแก้วไปคืนก็จะได้รับเงินส่วนหนึ่งคืนมา แม้จะไม่ใช่ชาวคริสต์ แต่เรากลับชอบตลาดนัด คริสต์มาสเอามากๆ ในฤดูที่กลางวันสั้นและหิมะ ตก สถานที่หลายแห่งปิดท�าการ ทุกอย่างชวนให้ นอนเหงาอยู่ในบ้าน การออกมาเดินตลาดคือโอกาส ให้เพื่อนบ้านได้พบปะสังสรรค์กันในบรรยากาศ สบายๆ พร้อมกลิ่นไวน์หอมๆ ส่วนบทสนทนาก็ถือ เป็นฮีทเตอร์สร้างความอบอุ่นชั้นดี เรามีเวลาอยู่ที่สโลวีเนียเพียงไม่กี่วัน จึงเลือกที่จะ พักที่ลูบลิยานาตลอด และนั่งรถไปเที่ยวเมืองอื่นๆ แบบเช้าไปเย็นกลับ เมืองแรกที่เราเลือกคือเบลด (Bled) ซึ่งนั่งรถบัสแค่ชั่วโมงนิดๆ ก็ถึงแล้ว วันนี้เรา ชักชวนเพื่อนชาวตุรกีที่พักโฮสเทลเดียวกันมาได้อีก คน ก็เลยไม่ต้องเดินคนเดียว จากป้ายรถบัสเดินมาประมาณห้านาทีก็มาถึงใจ กลางเมืองที่ดูเหมือนหมู่บ้านมากกว่า ข้างๆ กันเป็น ทะเลสาบซึ่งเป็นจุดเด่นของที่นี่ ชาวเมืองและนัก ท่องเที่ยวต่างออกมานั่งรับแดดริมน�้ากัน มีเรือให้ 45July 2018Mercedesเช่าเพื่อพายไปยังเกาะกลางทะเลสาบซึ่งมีโบสถ์เก่า ตั้งอยู่ เราบอกเพื่อนว่าอยากไปชมวิวมุมสูงของ ทะเลสาบ เพราะอ่านเจอในอินเทอร์เน็ตเมื่อคืนนี้ว่า มีเนินเขาแห่งหนึ่งที่จะมองเห็นทะเลสาบทั้งหมด เนิน นี้อยู่อีกด้านหนึ่งของทะเลสาบ เท่าที่อ่านมาดูเหมือน ทางขึ้นจะเดินสบายๆ ในระหว่างที่เดินเราก็เช็ค ต�าแหน่งในแผนที่เป็นระยะๆ จนมาถึงจุดที่เป็นทาง ขึ้นเนิน เป็นป่าแห้งๆ บนพื้นปกคลุมไปด้วยใบไม้ เรา เดินขึ้นไปสักพักก็เริ่มสังเกตว่าทางเดินมันดูไม่ชัดเจน เหมือนเดิม และยังชันขึ้นเรื่อยๆ ไม่เหมือนที่อ่านมา จนสงสัยว่าขึ้นมาถูกทางหรือเปล่านะ แต่เรากับเพื่อน ตกลงกันว่าไหนๆ ก็ขึ้นมาแล้ว ก็ลองเดินไปเรื่อยๆ แล้วกัน ในที่สุดเส้นทางมั่วๆ ของพวกเราก็พาเรามา จนถึงระเบียงแคบๆ ที่มีคนสร้างไว้ มีเพียงรั้วกั้น ป้าย และม้านั่งตัวหนึ่งเท่านั้น มองออกไปจากระเบียง แทบลืมหายใจ ทะเลสาบเบลดแผ่ตัวกว้างเต็มตา มองไกลๆ เหมือน ลานสีฟ้าสดท่ามกลางต้นสนที่รายล้อมหมู่บ้าน หอคอยโบสถ์ตั้งเด่นสะท้อนน�้าอยู่กลางลานสีฟ้านั้น ด้านหลังไกลๆ เป็นแนวเทือกเขา ภาพทั้งหมดสวย จนลืมความเหนื่อย คุ้มค่าทุกก้าวที่เดินขึ้นมา “ขอบคุณที่พามาที่นี่นะ” เสียงของเพื่อนดังขึ้นมาจาก ข้างๆ ตัว “เราต่างหากที่ต้องขอบคุณที่มาเป็นเพื่อน ขอโทษนะ ที่พาหลง” วันสุดท้ายในสโลวีเนีย เราตั้งใจจะอยู่ว่างๆ หาที่นั่ง เล่นในเมืองก่อนจะขึ้นรถบัสรอบดึกออกจากที่นี่ แต่ ตอนแวะซื้อตั๋วที่สถานีรถบัสก็เหลือบไปเห็นป้าย โฆษณาทัวร์เมืองที่มีชื่อสั้นๆ ว่าปิราน (Piran) รูปที่ แปะไว้คือรูปเดียวกันทุกแผ่น เป็นรูปเมืองริมทะเล หลังคาบ้านสีส้มเรียงกันแน่น ตัดกับสีฟ้าอมเขียวของ ผืนน�้า ถามที่เคาน์เตอร์ซื้อตั๋วได้ความว่าใช้เวลาเดิน ทางประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง และค่าตั๋วไม่แพง เราจึง เปลี่ยนแผนกะทันหันไปเที่ยวเมืองชายทะเลแห่งนี้แทน แม้ว่าทุกวันนี้การเดินทางโดยเครื่องบินจะทั้งถูกและ สะดวกสบาย แต่เราก็ยังชอบเดินทางด้วยรถบัสและ รถไฟมากกว่า และถ้าไม่ได้ใช้เวลานานมาก เราจะ และหลังจากเดินวนถ่ายรูปในลานแคบๆ จนครบทุก มุมแล้ว เราก็ค้นพบว่า ที่จริงแล้วมันมีทางเดินขึ้นมา จากอีกด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นทางที่ถางไว้อย่างดีและเดิน สบายมาก ไม่ทันเหนื่อยก็กลับมายืนบนถนน สบตา กับทะเลสาบสีฟ้าเหมือนเดิมแล้ว เราเดินวนอีกด้านให้ครบรอบทะเลสาบ เพื่อที่จะกลับ ไปยังตัวเมืองรอขึ้นรถบัส ทางฝั่งนี้ก็สวยไม่แพ้ฝั่งเดิม แสงแดดตอนบ่ายแก่ๆ ค่อยๆ เปลี่ยนน�้าให้กลายเป็น สีชมพูอมส้มอุ่นๆ ดูแปลกตาไปจากสีฟ้าสดเมื่อตอน ที่เรามาถึง ช่วงเย็นคือช่วงเวลาที่เราชอบที่สุด เพราะ จะได้เห็นท้องฟ้าและบรรยากาศรอบตัวค่อยๆ เปลี่ยน สีอย่างช้าๆ เป็นการแสดงรอบพิเศษของธรรมชาติที่ ใครก็เลียนแบบไม่ได้ ตอนที่เรากลับมาถึงลูบลิยานา ท้องฟ้าสีส้มเปลี่ยน เป็นสีน�้าเงินเข้มแล้ว เพื่อนชวนไปร้านอาหารไทยที่ อยู่ใกล้ๆ สถานีรถไฟ และบอกว่าอยากลองอาหาร ไทยมานานแล้วแต่ไม่รู้ว่าเมนูไหนอร่อย เราฟังแล้วก็ งงปนดีใจที่มีร้านอาหารไทยมาเปิดในเมืองเล็กๆ แบบนี้ด้วย แต่ตัวร้านนั้นไม่เล็กเลย รถตุ๊กตุ๊กขนาด เท่าของจริงที่ตั้งอยู่หน้าร้านเด่นจนเราแปลกใจว่า ท�าไมไม่เคยสังเกตมาก่อน พ่อครัวหน้าฝรั่งแต่ท�า อาหารรสชาติใกล้เคียงกับที่เมืองไทยมาก สูดกลิ่น พริกแล้วคิดถึงบ้านขึ้นมาทันที ถือเป็นการจบวันได้ อย่างสวยงาม เลือกเดินทางรอบกลางวัน เพราะชอบดูทิวทัศน์นอก หน้าต่างที่เปลี่ยนไปอย่างช้าๆ จากตึกสีลูกกวาดเต็ม ไปด้วยรายละเอียดน่ารักในลูบลิยานา ไปเป็นทุ่งหญ้า และเนินเตี้ยๆ กับบ้านหลังเล็กๆ ในแถบชนบท จน กระทั่งเห็นทะเลอยู่ไกลลิบๆ และวิ่งเลียบชายฝั่งเข้า มาในเขตบ้านหลังคาสีส้มของเมืองปิรานในที่สุด ยิ่ง ถ้าได้มองสิ่งเหล่านี้ผ่านทางหน้าต่างกว้างๆ ของ รถไฟละก็ เหมือนก�าลังนั่งดูโทรทัศน์ไม่มีผิด แวบแรกที่ได้เห็นปิราน เราจัดมันให้อยู่ในประเภท เมืองที่ ‘สวยมาตั้งแต่เกิด’ ทันที 46Mercedes-BenzMercedes47July 2018Mercedesเมืองที่สวยมาแต่เกิดส�าหรับเราคือเมืองที่มีสภาพ ภูมิประเทศหรือมีธรรมชาติที่สวยงามอยู่แล้ว แม้ตัว เมืองที่สร้างจะไม่ได้สวยมาก แต่ดูรวมๆ ยังไงก็สวย แต่นอกจากปิรานจะสวยมาตั้งแต่เกิดแล้ว ตึกราม บ้านช่องที่นี่ก็สวยด้วย ไม่แปลกใจที่จะเห็นป้าย โฆษณาเยอะขนาดนั้นในสถานีรถบัส ตึกของปิราน ทาสีโทนเหลืองอ่อนแทบทั้งหมด หลังคาปูด้วย กระเบื้องสีส้ม และยังตั้งอยู่บนแผ่นดินแหลมๆ ที่ยื่น ออกไปในทะเล ท�าให้มองเห็นทะเลได้จากหลายๆ จุดในเมือง ปิรานในอดีตเคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเวเนเชียน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประเทศอิตาลีในปัจจุบัน ตึกส่วน ใหญ่ของเมืองถูกสร้างขึ้นในยุคนั้น ท�าให้ออกมา หน้าตาคล้ายเมืองชายฝั่งของอิตาลี หลังจาก อาณาจักรล่มสลายลง ปิรานตกเป็นของอาณาจักร อื่น และกลับมาเป็นของอิตาลีอีกครั้งก่อนจะตกเป็น ส่วนหนึ่งของยูโกสลาเวียจนได้รับอิสรภาพในปี 1991 ทั้งหมดนี้หล่อหลอมให้เมืองเล็กๆ แห่งนี้มีวัฒนธรรม หลายแบบที่ผสมผสานกันอย่างน่าสนใจ เราเริ่มเดินจากใจกลางเมืองซึ่งเป็นท่าจอดเรือ มีเรือ จอดทิ้งไว้เต็มเวิ้งน�้า ถ้ามาเที่ยวช่วงฤดูร้อนคงจะมี ชีวิตชีวามาก ต่างกับตอนนี้ที่ดูเงียบๆ แต่ดีตรงที่ได้ มีเวลาสงบๆ เต็มที่ ข้างๆ กันเป็นจัตุรัสกลางเมือง ในเมืองนี้จะแทบไม่มีรถวิ่งเลย เพราะถนนทั้งแคบ และชัน บางจุดเป็นขั้นบันไดลดเลี้ยวไประหว่างตึก มองมุมไหนก็อยากจะถ่ายรูปไปหมด เราเดินขึ้นเนิน ไปเรื่อยๆ จนไปถึงก�าแพงเมืองเก่า ซึ่งมีพื้นที่ให้เดิน เล่นและชมวิวมุมสูง มองเห็นเส้นสายของผืนดินที่ยื่น แหลมออกไปในพื้นที่สีฟ้าของทะเลชัดเจน และเพิ่ง ได้เห็นว่าจตุรัสกลางเมืองนั้น ที่จริงแล้วมีรูปร่างเป็น วงรีต่างหาก ขอบมนๆ ของพื้นที่ปูด้วยสีขาวตัดกับ ลายตารางของแผ่นหินรอบนอก เป็นความแปลกตา ที่น่ารักดี เราเลือกที่จะจบวันแบบสบายๆ ด้วยการไปนั่งจิบชา ร้อนๆ ในร้านเล็กๆ ที่หันหน้าเข้าหาทะเล ที่นี่ไม่มี ชายหาด มีแต่หาดหินและหน้าผา แต่ก็ไม่ได้ท�าให้ บรรยากาศยามเย็นดูด้อยไปแต่อย่างใด เรากลับคิด ว่าถ้ามีหาดทรายก็อาจจะไม่ได้ดูลงตัวขนาดนี้ด้วยซ�้า รถบัสของเราจะออกเดินทางตอนดึกๆ กลับไปถึง ลูบลิยานาแล้วเรายังมีเวลาเหลือเฟือ เราเข้าร้าน อาหารไทยร้านเดิมไปสั่งผัดกะเพราเผ็ดน้อยของโปรด มาเติมท้อง นั่งรอเวลารถออก ในใจนึกเสียดายที่มี เวลาท�าความรู้จักประเทศเล็กๆ ที่น่ารักนี้น้อยเกินไป พลางสัญญากับตัวเองอยู่ในใจว่าจะกลับมาอีก แม้จะไม่รู้ว่าโอกาสนั้นจะมาถึงเมื่อไร แต่ตอนนี้ถ้าใครมาถามเรา เราก็จะตอบว่า “ไปสโลวีเนียเถอะ เธอต้องชอบแน่ๆ” 48Mercedes-BenzMercedesNext >